02-301-2223 sale@pp.premier.co.th
PREMIER PRODUCTS PUBLIC COMPANY LIMITED

วิเคราะห์การดำเนินงานและฐานะการเงิน

1) ภาพรวมของธุรกิจของบริษัทและบริษัทย่อย

     ในปี 2567 ตลาดอสังหาริมทรัพย์ยังไม่สามารถฟื้นตัวและธุรกิจรับเหมาก่อสร้างแนวโน้มเป็นการลงทุนโครงการภาครัฐ บริษัทจึงเพิ่มช่องทางการตลาดกับกลุ่มเป้าหมายให้หลากหลายเพิ่มขึ้นและมุ่งรักษาฐานตลาดลูกค้าหลัก โดยมุ่งเน้นการนำเสนอคุณภาพการผลิตและการส่งมอบอย่างมีประสิทธิภาพ ในส่วนของผลิตภัณฑ์การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา ซึ่งมีผู้ประกอบรายใหม่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและความต้องการสินค้ากลุ่มนี้สูงขึ้น จึงทำให้เกิดการแข่งขันด้านราคา อย่างไรก็ตาม บริษัทยังคงมุ่งเน้นการให้บริการกลุ่มโรงงานอุตสาหกรรมและบ้านที่อยู่อาศัยโดยอาศัยทีมงานที่มีประสบการณ์  ส่วนธุรกิจพลังงานไฟฟ้าแสงอาทิตย์ของบริษัทย่อย ยังคงมุ่งเน้นการปรับปรุงประสิทธิภาพกำลังการผลิตไฟฟ้า ซึ่งส่งผลให้กำลังการผลิตในปี 2567 สูงขึ้น

2) วิเคราะห์ผลการดำเนินงาน

     ผลการดำเนินงานสำหรับงวด 12 เดือนสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2567 ของบริษัทและบริษัทย่อยมีขาดทุนสำหรับปีจำนวน 29.13 ล้านบาท ผลขาดทุนลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อนจำนวน 62.65 ล้านบาท ด้วยปี 2566 บริษัทย่อยมีการปรับปรุงเปลี่ยนแผงโซลาร์เซลล์เพื่อการปรับปรุงประสิทธิภาพโรงไฟฟ้าแห่งที่ 2 จึงเกิดผลขาดทุนจากการด้อยค่าแผงโซลาร์ที่ถูกถอดออกซึ่งมีจำนวน 91.46 ล้านบาท ซึ่งหากไม่รวมผลขาดทุนจากการด้อยค่าแผงโซลาร์ ปี 2566 จะมีผลขาดทุน 0.31 ล้านบาท ผลขาดทุนปี 2567 เพิ่มขึ้นจำนวน 28.81 ล้านบาทจากรายได้เงินส่วนเพิ่มราคาซื้อไฟฟ้า (Adder) จำนวน 38.4 ล้านบาทของบริษัทย่อย เนื่องจากสัญญาครบกำหนดในเดือนเมษายน 2566 จึงทำให้ในปี 2567 ไม่มีรายได้ส่วนนี้ รายการเปลี่ยนแปลงในงวดสรุปได้ดังนี้

     รายได้จากการขายและบริการของบริษัทและบริษัทย่อยมีจำนวน 1,191.78 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน 91.69 ล้านบาท มีรายละเอียดดังนี้

     บริษัทมีรายได้จากกลุ่มผลิตภัณฑ์เพื่อการจัดการน้ำเพิ่มขึ้นจำนวน 75.67 ล้านบาท ส่วนผลิตภัณฑ์วัสดุก่อสร้างลดลงจากงานโครงการ GRC ซึ่งบริษัทหยุดดำเนินการผลิตในปี 2567 และผลิตภัณฑ์การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาเพิ่มขึ้นจำนวน 138.79 ล้านบาท กำไรขั้นต้นมีจำนวน 227.82 ล้านบาท ใกล้เคียงกับปีก่อนเนื่องจากสภาวะการแข่งขันโดยเฉพาะผลิตภัณฑ์การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ร้อยละ 19.8 อัตรากำไรลดลงจากปีก่อนร้อยละ 3.6

     ส่วนกลุ่มธุรกิจไฟฟ้าพลังงานสะอาดซึ่งเป็นของบริษัทย่อย รายได้จากการขายไฟฟ้ามีจำนวน 91.43 ล้านบาท ใกล้เคียงกับปีก่อน เนื่องจากแม้ว่าราคาค่าไฟฟ้าในปี 2567 มีอัตราลดลงจากปีก่อน 0.40 บาทต่อหน่วย จากการปรับปรุงประสิทธิภาพโรงไฟฟ้าในปี 2566 ที่ส่งผลให้ปริมาณการผลิตไฟฟ้ามีปริมาณสูงขึ้นกว่าปีก่อน 2.43 ล้านหน่วย จึงมีผลทำให้ราคาค่าขายไฟฟ้าไม่เปลี่ยนแปลงจากปีก่อน เนื่องจากสัญญาราคาซื้อไฟฟ้าส่วนเพิ่มครบกำหนดเมื่อเดือนเมษายน 2566 จึงทำให้ในปี 2567 ไม่มีรายได้ส่วนนี้ อัตรากำไรขั้นต้นจากการขายไฟฟ้าอยู่ที่ร้อยละ 47.80

     ต้นทุนในการจัดจำหน่ายมีจำนวน 159.21 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน 7.73 ล้านบาท คิดเป็นอัตราร้อยละ 5.11 ทั้งนี้ ต้นทุนในการจัดจำหน่ายโดยรวมคิดเป็นร้อยละ 13.85 ของรายได้จากการขายและบริการ ซึ่งมีอัตราลดลงจากปีก่อนร้อยละ 1.75

     ค่าใช้จ่ายในการบริหารมีจำนวน 125.79 ล้านบาท ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อน 15.19 ล้านบาทจากค่าใช้จ่ายบุคลากรของบริษัทและบริษัทย่อย ซึ่งในส่วนของบริษัทมาจากการปรับโครงสร้างธุรกิจผลิตภัณฑ์วัสดุก่อสร้างเป็นหลัก

     ผลขาดทุนจากการด้อยค่ามีจำนวน  2.71  ล้านบาท จากสินทรัพย์เครื่องจักรที่ไม่ใช้งานที่ถูกจัดรายการเป็นสินทรัพย์ที่ถือไว้เพื่อขาย ซึ่งได้จำหน่ายไปเมื่อเดือนมกราคม 2568 จำนวน 1.37 ล้านบาท และสำรองด้อยค่าของแผงโซลาร์จากการซ่อมบำรุงตามปกติจำนวน 1.34 ล้านบาท

     รายได้อื่นมีจำนวน 7.74 ล้านบาท ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อน 0.39 ล้านบาท

     ต้นทุนทางการเงินมีจำนวน 7.87 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน 2.74 ล้านบาท จากการกู้ยืมเพื่อการปรับปรุงประสิทธิภาพโรงไฟฟ้าของบริษัทย่อยเป็นหลัก

     ค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้มีจำนวน 1.33 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อน 2.53 ล้านบาท เป็นการคำนวณภาษีเงินได้รอการตัดบัญชี

     สรุปผลการดำเนินในส่วนของบริษัทมีผลขาดทุนสำหรับปี 46.81 ล้านบาท ขาดทุนเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 90.50 ล้านบาท เนื่องจากปีก่อนมีรายได้เงินปันผลจากบริษัทย่อยจำนวน 90.72 ล้านบาท ซึ่งหากไม่รวมรายได้เงินปันผล ปี 2566 มีผลขาดทุน 47.03 ล้านบาท ดังนั้น ผลขาดทุนในปีจะใกล้เคียงจากปีก่อน เนื่องจากการขายและบริการมีอัตรากำไรลดลงตามที่กล่าวข้างต้น ส่วนผลการดำเนินงานของบริษัทย่อยมีกำไรสำหรับปีจำนวน 23.26 ล้านบาท ซึ่งหากไม่รวมรายการด้อยค่าแผงโซลาร์ของปี 2566 จำนวน 91.46 ล้านบาทและรายได้เงินส่วนเพิ่มราคาซื้อไฟฟ้า (Adder) ปี 2566 จะมีกำไร 7.33 ล้านบาท กำไรในปีเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 15.93 ล้านบาท

รายได้จากการขายและบริการ (หน่วย : ล้านบาท)
2567
2566
เพิ่ม(ลด)
1.กลุ่มผลิตภัณฑ์เพื่อการจัดการน้ำ
614.33
538.66
75.67 | 14%
2.กลุ่มผลิตภัณฑ์วัสดุและอุปกรณ์เพื่อการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม*
535.25
432.64
102.61 | 24%
-ผลิตภัณฑ์วัสดุก่อสร้าง
108.81
144.99
(36.18) | (25%)
-ผลิตภัณฑ์การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา
426.44
287.65
138.79 | 48%
2.กลุ่มธุรกิจไฟฟ้าพลังงานสะอาด**
-รายได้จากการขายไฟฟ้า
91.43
91.40
0.03 | 0.03%
-รายได้เงินส่วนเพิ่มราคาซื้อไฟฟ้า (Adder)
-
38.44
(38.44) | (100%)
หัก รายการระหว่างบริษัทและบริษัทย่อย
(49.23)
(1.05)
(48.18) | 4589%
รวมรายได้จากการขายและบริการ
1,191.78
1,100.09
91.69 | 8%

คำอธิบายรายการในงบแสดงฐานะการเงินที่สำคัญ

ฐานะการเงิน ณ วันที่  31 ธันวาคม 2567

     ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567 บริษัทและบริษัทย่อยมีสินทรัพย์รวม 1,383.3  ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากสิ้นปีก่อนจำนวน 71.8 ล้านบาท มีหนี้สินจำนวน 516.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากสิ้นปีก่อนจำนวน 105.5 ล้านบาท และมีส่วนของผู้ถือหุ้นรวมจำนวน 866.8 ล้านบาท ลดลงจากสิ้นปีก่อนจำนวน 33.7 ล้านบาท รายการเปลี่ยนแปลงฐานะการเงินที่สำคัญดังนี้

สินทรัพย์

  • ณ 31 ธันวาคม 2567 สินทรัพย์หมุนเวียนมีจำนวน 17 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากสิ้นปีก่อน 63.58  ล้านบาท เนื่องจาก
  • ลูกหนี้การค้าและลูกหนี้หมุนเวียนอื่นมีจำนวน 70 ล้านบาท ลดลง 6.87 ล้านบาท จากลูกหนี้การค้าของบริษัทย่อย โดยระยะเวลาเก็บหนี้เฉลี่ยปี 2567 และปี 2566 เท่ากับ 68.53 และ 78.42 วัน ตามลำดับ
  • สินค้าคงเหลือมีจำนวน 61 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 104.79 ล้านบาท เป็นสินค้าสำเร็จรูปเพิ่มขึ้น 102.93 ล้านบาท วัตถุดิบและวัสดุอื่นเพิ่มขึ้น 0.27 ล้านบาท งานระหว่างทำลดลง 0.63 ล้านบาท โดยระยะเวลาขายสินค้าเฉลี่ย ปี 2567 และปี 2566 เท่ากับ 69.17 วันและ 59.65 วัน ตามลำดับ
  • สินทรัพย์ที่เกิดจากสัญญา–หมุนเวียน มีจำนวน 06 ล้านบาท ลดลง 24.93 ล้านบาท จากงานโครงการระหว่างก่อสร้างที่บริษัทได้ทยอยดำเนินการส่งมอบ
  • ต้นทุนในการทำงานให้เสร็จสิ้นตามสัญญาที่ทำกับลูกค้ามีจำนวน 61 ล้านบาท ลดลงจำนวน 2.58 ล้านบาท
  • สินทรัพย์ไม่หมุนเวียนมีจำนวน 14 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากสิ้นปีก่อน 8.25 ล้านบาท เนื่องจาก
  • ที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ มีจำนวน 54 ล้านบาท ลดลง 2.94 ล้านบาท จากค่าเสื่อมราคาสินทรัพย์ในงวด 50.8 ล้านบาทในงวด โดยหลัก ซื้อสินทรัพย์อุปกรณ์โรงไฟฟ้า 42.03 ล้านบาท และงานระหว่างก่อสร้างจำนวน 1.22 ล้านบาท
  • สินทรัพย์ไม่มีตัวตนมีจำนวน 97 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 12.13 ล้านบาท จากการลงทุนระบบ ERP (Enterprise Resource Planning) เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพระบบงานและปรับขั้นตอนการปฏิบัติงาน (Business Process) ปัจจุบัน อยู่ระหว่างการพัฒนา (Implement) ส่วนของบริษัทย่อยเริ่มพร้อมใช้งานตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567
  • เงินประกันผลงานมีจำนวน 34 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.09 ล้านบาท
  • สินทรัพย์ไม่หมุนเวียนอื่นมีจำนวน 62 ล้านบาท ลดลง 8.09 ล้านบาทจากบริษัทได้รับคืนภาษีเงินได้ถูกหัก ณ ที่จ่ายของปีก่อน

หนี้สินและส่วนของผู้ถือหุ้น

  • บริษัทและบริษัทย่อยมีหนี้สินรวม 4 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากสิ้นปีก่อนจำนวน 105.5 ล้านบาทเนื่องจาก
  • เงินเบิกเกินบัญชีธนาคารและเงินกู้ยืมระยะสั้นจากสถาบันการเงินมีจำนวน 00 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากสิ้นปีก่อนจำนวน 22.00 ล้านบาท เป็นการกู้ยืมเพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนของบริษัท
  • เจ้าหนี้การค้าและเจ้าหนี้หมุนเวียนอื่นมีจำนวน 78 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากสิ้นปีก่อนจำนวน 48.02 ล้านบาท จากเจ้าหนี้การค้าเพิ่มขึ้น 37.49 ล้านบาท เจ้าหนี้หมุนเวียนอื่นเพิ่มขึ้น 1.62 ล้านบาท ค่าใช้จ่ายค้างจ่ายเพิ่มขึ้น 10.94 ล้านบาท และเงินมัดจำรับลดลง 2.04 ล้านบาท
  • หนี้สินที่เกิดจากสัญญา–หมุนเวียน มีจำนวน 25 ล้านบาท ลดลงจากสิ้นปีก่อนจำนวน 14.09 ล้านบาท จากเงินมัดจำรับลดลงและเงินรับล่วงหน้าค่าสินค้าและบริการ
  • หนี้สินตามสัญญาเช่าทั้งในส่วนที่ถึงกำหนด 1 ปีและส่วนที่เกินกำหนด 1 ปี เป็นการรับรู้หนี้สินตามสัญญาเช่าตลอดอายุสัญญา ตามมาตรฐานรายงานทางการเงินฉบับที่ 16 เรื่องสัญญาเช่า
  • เงินกู้ยืมระยะยาวจากสถาบันการเงินในส่วนที่ถึงกำหนด 1 ปีและส่วนที่เกินกำหนด 1 ปี มีจำนวน 42.3 ล้านบาท เป็นเงินกู้ยืมเพื่อการลงทุนปรับปรุงประสิทธิภาพโรงฟ้าของบริษัทย่อย
  • หนี้สินหมุนเวียนอื่นมีจำนวน 67 ล้านบาท เพิ่มจากสิ้นปีก่อนจำนวน 2.96 ล้านบาท จากภาษีขายรอรับชำระ
  • ประมาณการหนี้สินสำหรับผลประโยชน์ระยะยาวพนักงานมีจำนวน 25 ล้านบาท ลดลง 0.53ล้านบาท
  • ส่วนของผู้ถือหุ้นมีจำนวน 9 ล้านบาท ลดลงจากสิ้นปีก่อนจำนวน 33.7 ล้านบาท มาจากผลการดำเนินงานในปีมีผลขาดทุน ส่วนของผู้ถือหุ้นส่วนของบริษัทจำนวน 713.2 ล้านบาท ลดลงจากสิ้นปีก่อนจำนวน 39.4 ล้านบาท และส่วนของผู้ถือหุ้นส่วนได้เสียที่ไม่มีอำนาจควบคุมจำนวน 153.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากสิ้นปีก่อนจำนวน 5.7 ล้านบาทซึ่งเป็นของบริษัทย่อย

การวิเคราะห์งบกระแสเงินสด

     กระแสเงินสดสุทธิจากกิจกรรมดำเนินงานของบริษัทและบริษัทย่อยในปี 2567 มีจำนวน 8.14 ล้านบาท จากการดำเนินงานและการบริหารเงินทุนหมุนเวียนของบริษัทย่อยเป็นหลัก

     กระแสเงินสดใช้ไปในกิจกรรมลงทุนจำนวน 65.25 ล้านบาท จากการซื้อทรัพย์สิน 52.52 ล้านบาทและการลงทุนในสินทรัพย์ไม่มีตัวตนของระบบ ERP จำนวน 13.27 ล้านบาท

     กระแสเงินสดได้มาจากกิจกรรมจัดหาเงินจำนวน 49.27 ล้านบาท จากการเบิกเงินกู้ยืมระยะสั้นจากสถาบันการเงินจำนวน 15 ล้านบาท เงินสดรับจากเงินกู้ยืมระยะยาวจากสถาบันการเงินจำนวน 47.68 ล้านบาท และการชำระหนี้สินตามสัญญาเช่า 7.16 ล้านบาทและชำระดอกเบี้ย 7.87 ล้านบาท

     เงินสดลดลงระหว่างปีจำนวน 7.84 ล้านบาท ดังนั้น บริษัทและบริษัทย่อยมีเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด            ณ 31 ธันวาคม 2566 เท่ากับ 6.60 ล้านบาท

ปัจจัยหรือเหตุการณ์ที่อาจมีผลต่อฐานะการเงิน หรือการดำเนินงานอย่างมีนัยสำคัญในอนาคต (Forward Looking)

     การพิจารณาปัจจัยหรือเหตุการณ์ที่อาจมีผลต่อฐานะการเงิน หรือการดำเนินงานอย่างมีนัยสำคัญในอนาคตสำหรับธุรกิจ และการเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับความท้าทายที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต จะช่วยให้ธุรกิจสามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพและสามารถรักษาฐานะการเงินที่ดีในระยะยาว โดยบริษัทได้พิจารณาปัจจัยหรือเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้น ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็นหลายด้านดังนี้:

1. นโยบายรัฐบาลและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง

  • การเปลี่ยนแปลงนโยบายของรัฐบาล เช่น การสนับสนุนพลังงานสะอาดหรือการใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ ในการผลิตไฟฟ้าหรือการจัดการน้ำ อาจส่งผลดีต่อการลงทุนในโรงไฟฟ้าและการจัดการระบบน้ำ เช่น การเพิ่มขึ้นของมาตรฐานหรือข้อกำหนดด้านสิ่งแวดล้อม ผลิตภัณฑ์การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา (Solar Rooftop) ยังคงมีโอกาสทางธุรกิจอีกมาก จากนโยบายภาครัฐที่สนับสนุนการผลิตพลังงานทางเลือกเพื่อความมั่นคงด้านพลังงาน การส่งเสริมการลงทุน ราคาอุปกรณ์และแผงโซล่าร์เซลล์ที่มีราคาถูกลง ทำให้ภาคธุรกิจเอกชนมีความคุ้มค่าในการลงทุน
  • การปรับเปลี่ยนกฎหมายและระเบียบข้อบังคับที่เกี่ยวข้องกับการจัดการน้ำและพลังงาน เช่น มาตรฐานควบคุมการระบายน้ำทิ้งจากอาคารบางประเภทและบางขนาดปี 2567 ทำให้เกิดโอกาสในการคิดค้นผลิตภัณฑ์ใหม่และเพิ่มความสามารถในการทำรายได้ของบริษัท
  • การท่องเที่ยวที่มีการฟื้นตัวอย่างสูงจากการปลดล๊อควีซ่าที่เดินทางเข้าประเทศไทยให้กับหลายประเทศ ส่งผลให้ภาคบริการ ธุรกิจโรงแรมได้มีการปรับปรุง Facility และ Renovate เพื่อรับนักท่องเที่ยว ซึ่งส่งผลดีต่อผลิตภัณฑ์บริการ การปรับปรุงระบบบำบัดน้ำ ในกลุ่มลูกค้าโรงแรม รีสอร์ท เครือข่ายร้านอาหาร

2. เทคโนโลยีและนวัตกรรม

  • บริษัทให้ความสำคัญต่อการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ และนวัตกรรมในการจัดการน้ำ เช่น ระบบการบำบัดน้ำเสีย หรือการนำเทคโนโลยีพลังงานทดแทนมาใช้ในการผลิตไฟฟ้า ที่สามารถช่วยลดต้นทุนหรือเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน รวมไปถึงมุ่งสู่พลังงานสะอาดและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (คาร์บอนไดออกไซด์)
  • บริษัทให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีในการตรวจสอบและควบคุมคุณภาพน้ำ รวมถึงระบบการจัดเก็บข้อมูลที่แม่นยำ เพื่อช่วยในการบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ

3. สภาพภูมิอากาศและภัยธรรมชาติ

  • ภัยธรรมชาติ เช่น น้ำท่วม ภัยแล้ง หรือพายุ สามารถส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อระบบการจัดการน้ำและการผลิตไฟฟ้า ซึ่งอาจทำให้เกิดการหยุดชะงักในการดำเนินงาน หรือเพิ่มค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษา
  • การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เช่น การเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิหรือความผันผวนของภูมิอากาศ ภาวะอากาศเปลี่ยนแปลงและภาวะโลกร้อนมีผลให้ภาครัฐมีโครงการลงทุนเพื่อบรรเทาภัย ซึ่งเป็นโอกาสดีของบริษัทในการเสนอขายผลิตภัณฑ์ เพื่อการจัดการน้ำ บรรเทาภัยแล้ง

4. การเข้าถึงเงินทุนและอัตราดอกเบี้ย

  • การเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยส่งผลกระทบต่อต้นทุนทางการเงินของบริษัท เนื่องจากบริษัทมีการใช้เงินกู้จากสถาบันการเงินเพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียน สำหรับปี 2567 มีการลดลงของอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งส่งผลดีของต้นทุนทางการเงินของบริษัทและยังเห็นแนวโน้มที่ดีของการลดลงของอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในปี 2568
  • บริษัทยังคงมีความสามารถในการระดมทุนผ่านเครื่องมือทางการเงินผ่านทางตลาดการเงินหรือจากแหล่งทุนต่าง ๆ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการบริหารจัดการโรงไฟฟ้าและสำหรับเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ

5. การแข่งขันและแนวโน้มตลาด

  • การแข่งขันในตลาดพลังงาน หรือการพัฒนาเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพสูง อาจทำให้การดำเนินงานในธุรกิจพลังงานมีความท้าทายมากขึ้น สำหรับส่วนของธุรกิจผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ของบริษัทย่อย ยังคงให้ความสำคัญกับการปรับปรุงประสิทธิภาพของโรงไฟฟ้าที่ดำเนินการอยู่ทั้ง 3 โรงไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้การผลิตไฟฟ้ามีประสิทธิภาพสูงสุด ส่งผลต่อรายได้ที่เพิ่มขึ้นของบริษัทย่อย นอกจากนั้น ยังมุ่งเน้นลงทุนขยายกำลังการผลิตเพิ่ม ไม่ว่าจะเป็นการขยายกำลังการผลิตใหม่ๆ ที่หน่วยงานภาครัฐจะจัดให้มีการรับซื้อไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์หรือพลังงานทดแทนอื่นๆ เพิ่มขึ้น หรือการขยายการลงทุนไปยังโรงไฟฟ้าอื่นๆ ที่ดำเนินการอยู่แล้วในปัจจุบัน อีกทั้งจากประสบการณ์อันยาวนานในการบริหารจัดการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ บริษัทย่อยยังมีโอกาสการเพิ่มรายได้จากการให้บริการดูแลรักษาและบำรุงระบบปฏิบัติการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์สำหรับโรงไฟฟ้าอื่นๆ ที่สนใจรับบริการ
  • การเปลี่ยนแปลงในความต้องการและพฤติกรรมของผู้บริโภค เช่น ความสนใจที่เพิ่มขึ้นในพลังงานทดแทน อาจทำให้ธุรกิจต้องปรับกลยุทธ์เพื่อให้สอดคล้องกับแนวโน้มในอนาคต

6. การรับมือกับวิกฤตการเงินและเศรษฐกิจ

  • บริษัทให้ความสำคัญการบริหารความเสี่ยงจากภาวะความผันผวนทางเศรษฐกิจ เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับวิกฤตการณ์ทางการเงินและเศรษฐกิจอย่างสม่ำเสมอ
  • ในปี 2567 กลุ่มลูกค้าภาคอสังหาริมทรัพย์โดยเฉพาะที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดมิเนียมอยู่ในสภาพซบเซา เป็นผลมาจากสถาบันการเงินเพิ่มความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อใหม่ ทำให้การขายสินค้าและบริการในกลุ่มลูกค้านี้ของบริษัทลดลงจากปีที่ผ่านมา และในช่วงปลายปี 2567 ต่อเนื่องถึงปี 2568 ภาครัฐ ภาคเอกชน และผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ ร่วมกับกลุ่มธนาคารและธนาคารแห่งประเทศไทยได้ร่วมกันแก้ไขปัญหาเรื่องความสามารถในการเข้าถึงแหล่งเงินกู้และการปรับลดเกณฑ์ในการการปล่อยสินเชื่อของผู้ซื้อห้องชุด จึงคาดว่าปัญหานี้จะมีแนวโน้มที่ดีขึ้น ทำให้การขายสินค้าและบริการในกลุ่มนี้เพิ่มขึ้นกว่าปี 2567
  • ความเสี่ยงเรื่องสภาพคล่องของลูกค้าที่เกิดจากสภาพเศรษฐกิจในปี 2566 ไม่ดี ทำให้เริ่มมีการค้างชำระสินค้าและบริการ จึงจำเป็นต้องมีความระมัดระวังในการพิจารณาเครดิตสินเชื่อรวมทั้งความรวดเร็วในการเรียกเก็บเงิน เพื่อลดความเสี่ยงเรื่องการค้างชำระที่หลายกลุ่มธุรกิจมีการเติบโตที่ลดลงและส่งผลกระทบต่อสภาพคล่องในการทำธุรกิจ
  • อัตราแลกเปลี่ยนยังคงมีความผันผวนสูงมากจากปัจจัยทางเศรษฐกิจ เงินเฟ้อ และอัตราดอกเบี้ย ส่งผลกระทบโดยตรงต่อต้นทุนสินค้า อาทิเช่น เรซิ่น ใยแก้ว เหล็ก แผงโซลาร์เซลล์และอุปกรณ์ผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ เป็นต้น อย่างไรก็ตาม บริษัทได้ทำสัญญาซื้อขายอัตราแลกเปลี่ยนล่วงหน้าเพื่อควบคุมต้นทุนสินค้าให้ได้มากที่สุด